| บทความจากแพทย์กลุ่มมะเร็งระบบทางเดินอาหารส่วนล่าง

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colon and Rectal Cancer)

ความรู้ทั่วไปของโรค
มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก (Colorectal cancer) เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดทั่วโลก พบได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โรคนี้พบมากในผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี แต่สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงอายุ การตรวจพบโรคในระยะแรกช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาดได้ การเข้าใจอาการแสดงของโรคและการตรวจคัดกรองเป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวินิจฉัย และเข้าสู่กระบวนการรักษาได้ทันท่วงที
มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแบ่งประเภทตามพยาธิกำเนิด:
1. มะเร็งที่เกิดขึ้นเอง (Sporadic cancer): เกิดขึ้นในบุคคลที่ไม่มีประวัติครอบครัว หรือความผิดปกติทางพันธุกรรม พบได้ประมาณร้อยละ 70-80 ของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักทั้งหมด การเกิดมะเร็งได้รับอิทธิพลหลักจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมและการดำเนินชีวิต เช่น อาหาร การสูบบุหรี่ การขาดการออกกำลังกาย
2. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักทางครอบครัว (Familial cancer): เกิดขึ้นในบุคคลที่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก แต่ตรวจไม่พบการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมที่ชัดเจน พบประมาณร้อยละ 10-20 ของผู้ป่วยทั้งหมด เกิดจากการผสมผสานระหว่างปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการดำเนินชีวิต
3. มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักแบบถ่ายทอดทางพันธุกรรม (Hereditary cancer): เกิดจากการกลายพันธุ์ที่ถ่ายทอดมาโดยเฉพาะ พบประมาณร้อยละ 5-10

แม้ว่าสาเหตุที่แน่ชัดของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่มีหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยง:
ปัจจัยทางพันธุกรรม:
   – ประวัติครอบครัวที่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
   – กลุ่มอาการทางพันธุกรรม เช่น กลุ่มอาการลินช์ (Lynch syndrome) หรือ Familial adenomatous polyposis (FAP)
ปัจจัยด้านการดำเนินชีวิต:
   – การรับประทานอาหารที่มีเนื้อแดงและเนื้อแปรรูปสูง
   – การขาดการออกกำลังกาย
   – การสูบบุหรี่
   – การดื่มแอลกอฮอล์หนัก
โรคประจำตัว:
  – โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (Inflammatory bowel disease) ได้แก่ โรคครอห์น (Crohn’s disease)และโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเป็นแผล (Ulcerative colitis)

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักอาจแตกต่างกันไป แต่มักพบ:
   – การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่าย (ท้องเสียหรือท้องผูก)
   – พบเลือดในอุจจาระหรือมีเลือดออกทางทวารหนัก
   – อาการปวดท้องที่ไม่หายไป (ปวดเกร็ง แน่นท้อง หรือปวด)
   – น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
   – อ่อนเพลียหรือหมดแรง
   – รู้สึกถ่ายไม่สุด
สำคัญที่ต้องทราบคือในระยะแรกมะเร็งมักไม่แสดงอาการ การตรวจคัดกรองเป็นประจำจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักวินิจฉัยด้วยวิธีการต่างๆ ร่วมกัน:
– การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่: มาตรฐานสูงสุดในการตรวจหาติ่งเนื้อหรือมะเร็ง
– การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ (FOBT)
– การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ลำไส้ใหญ่
– การตัดชิ้นเนื้อ: เก็บตัวอย่างเนื้อเยื่อระหว่างการส่องกล้องเพื่อยืนยันมะเร็ง
– การตรวจภาพถ่าย: CT หรือ MRI เพื่อประเมินระยะและการแพร่กระจายของมะเร็ง
การรักษามะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักขึ้นอยู่กับระยะและตำแหน่งของโรค:
1. การผ่าตัด: การรักษาหลักสำหรับมะเร็งเฉพาะที่ โดยตัดเนื้องอกและเนื้อเยื่อรอบๆ ออก
2. เคมีบำบัด: ใช้ยาเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง มักใช้หลังการผ่าตัดหรือในมะเร็งระยะลุกลาม
3. รังสีรักษา: มุ่งเป้าและฆ่าเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในมะเร็งทวารหนัก
4. การรักษาแบบมุ่งเป้า: เน้นที่โมเลกุลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของมะเร็ง
5. ภูมิคุ้มกันบำบัด: ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันจดจำและโจมตีเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นระยะลุกลาม
การป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการตรวจคัดกรองเป็นประจำ:
– อาหารที่ดีต่อสุขภาพ: เพิ่มการรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืชไม่ขัดสี ลดการรับประทานเนื้อแดงและเนื้อแปรรูป
– การออกกำลังกาย: การออกกำลังกายสม่ำเสมอช่วยลดความเสี่ยง
– หลีกเลี่ยงบุหรี่และจำกัดแอลกอฮอล์: ทั้งสองอย่างอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรค
– การตรวจคัดกรอง: เริ่มตรวจคัดกรองเป็นประจำเมื่ออายุ 50 ปี หรือเร็วกว่านั้นหากมีปัจจัยเสี่ยง
– จัดการโรคเรื้อรัง: ควบคุมโรคลำไส้อักเสบและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพและการเอาใจใส่ในการตรวจคัดกรอง จะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก และช่วยให้ตรวจพบได้เร็ว เพิ่มโอกาสในการรักษาให้ประสบความสำเร็จ
นพ. พรรักษา โอวาทชัยพงศ์
ภาควิชาศัลยศาสตร์ สาขาวิชาศัลยศาสตร์ทั่วไป
สถานวิทยามะเร็งศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
Scroll to Top