หลักการและเหตุผล

       ผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤต เป็นผู้ที่เจ็บป่วยในภาวะฉุกเฉินมีปัญหาซับซ้อนและเสี่ยงต่อชีวิต  ต้องการการดูแลเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและช่วยเหลืออย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นและอาจมีความรุนแรงถึงแก่ชีวิต  ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการพัฒนาการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ ที่เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงในการดูแลทารกแรกเกิด ที่อยู่ในภาวะวิกฤต และมีการกระจายเทคโนโลยีเหล่านี้ไปยังส่วนภูมิภาคมากขึ้น แต่องค์ประกอบสำคัญอีกส่วนหนึ่งคือพยาบาลซึ่งเป็นบุคลากรทีมสุขภาพ มีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิด สามารถประเมินภาวะสุขภาพของทารกแรกเกิดที่มีภาวะเสี่ยงและอยู่ในภาวะวิกฤต มีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ขั้นสูง การตัดสินในการส่งต่อทารก เพื่อการรักษาพยาบาลที่ถูกต้องเหมาะสมและทันท่วงที การพยาบาลเวชปฏิบัติวิกฤตทารกแรกเกิด เป็นสาขาการพยาบาล ที่ผู้ปฏิบัติงานต้องอาศัยความรู้เฉพาะทางและมีประสบการณ์สูง จึงจำเป็นต้องพัฒนาพยาบาลวิชาชีพให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะและใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และในการให้การพยาบาลผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤต  ให้มีการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมโดยเน้นผู้ป่วยและครอบครัวเป็นศูนย์กลาง ทำงานแบบวิชาชีพและแบบสหสาขาวิชาชีพที่เป็นมาตรฐานสากล จากเหตุผลดังกล่าว ฝ่ายการพยาบาล โรงพยาบาลศิริราช ร่วมกับภาควิชากุมารเวชศาสตร์  คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จึงได้จัดการฝึกอบรมการพยาบาลเฉพาะทาง สาขาการเวชปฏิบัติวิกฤตทารกแรกเกิดให้กับพยาบาลวิชาชีพ เพื่อพัฒนาศักยภาพ ให้เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญเฉพาะสาขา   ในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่อยู่ในระยะวิกฤตแบบองค์รวม ส่งผลให้ผู้ป่วยทารกได้รับบริการพยาบาลที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

วัตถุประสงค์ของโครงการ

            เพื่อให้ผู้เข้าอบรมมีความรู้ ความสามารถ และมีทักษะในการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตทารกแรกเกิดที่มีปัญหาซับซ้อน สามารถวิเคราะห์ปัญหาทางคลินิก  และความต้องการการดูแลรักษาพยาบาล สามารถเฝ้าระวัง ใช้อุปกรณ์พิเศษ และเทคโนโลยีขั้นสูง  สามารถใช้หลักฐานเชิงประจักษ์และนวัตกรรมทางการพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผลที่คาดว่าจะได้รับ

1. อธิบายนโยบาย  แนวคิด ทฤษฎีที่เกี่ยวกับนโยบายและระบบบริการสุขภาพทารกแรกเกิดได้

2. อธิบายมาตรฐานการพยาบาล และการนำหลักฐานเชิงประจักษ์มาใช้การดูแลทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤตได้ 

3. มีทักษะในการวินิจฉัย จัดการแก้ไขปัญหาสุขภาพของทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤต วางแผนให้การพยาบาลอย่างเป็นองค์รวมได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง  และปลอดภัย

4. วิเคราะห์  คาดการณ์และจัดการกับภาวะแทรกซ้อนจากโรคและการรักษาที่เกิดขึ้นกับทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5. มีทักษะในการประเมิน  เฝ้าระวัง  ความผิดปกติทางสุขภาพทารกแรกเกิดที่มีภาวะวิกฤตโดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูงได้อย่างปลอดภัย  และมีประสิทธิภาพ

6. ให้ความรู้  คำแนะนำ  และคำปรึกษาแก่ครอบครัวของทารกแรกเกิดที่กำลังเผชิญปัญหาวิกฤต

7. วิเคราะห์  ตัดสินใจในประเด็นปัญหาทางกฎหมาย  และจริยธรรมที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยทารกแรกเกิดในภาวะวิกฤต  และครอบครัวได้อย่างเหมาะสม

8. เป็นผู้พิทักษ์สิทธิ์ของผู้ป่วยทารกแรกเกิดระยะวิกฤต  และครอบครัวในการประสานความร่วมมือในวิชาชีพ และสหวิชาชีพเพื่อให้ผู้ป่วย  และครอบครัวได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพ