ประวัติความเป็นมา หลักสูตรแพทยศาสตร์
ตั้งแต่พ.ศ.2486 – 2511 ที่ห้องปฏิบัติการอยู่บนตึกกายวิภาคและมีขนาดจำกัด จึงต้องจัดการสอนภาคปฏิบัติแก่นักศึกษาแพทย์ออกเป็น 2 ผลัด บางครั้งถึง 3 ผลัด เนื่องจากในปีแรกมีนักศึกษาเพียง 50 คน ต่อปี แต่ต่อมารับเพิ่มเป็น 100-150 คน จนถึงปี 2490 ได้รับเพิ่มถึง 192 คน คณาจารย์ทุกคนต้องอยู่สอนตลอดตั้งแต่ 8.00-17.00 น. ทุกวัน ต่อมาเมื่อย้ายมาที่ชั้น 3 ของตึกสรีระที่สร้างเสร็จใหม่ในปี 2511 ได้จัดเตรียมให้มีห้องปฏิบัติการ 2 ห้องใหญ่สำหรับนักศึกษาทำให้สามารถจัดสอนปฏิบัติการผลัดเดียวได้ตั้งแต่ปีการศึกษา 2516 เป็นต้นมา และยังมีพื้นที่พอเพียงสำหรับจัดเตรียมให้เป็นห้องสำหรับงานวิจัยและงานบริการทางห้องปฏิบัติการด้วย ทำให้งานทั้ง 3 ด้าน คล่องตัวและสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ตามลำดับ
สำหรับการสอนบรรยายนั้น ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดมาโดยมีการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของวิชาชีวเคมี ให้เหมาะสมสำหรับการประยุกต์ใช้ต่อไปในชั้นคลินิก โดยพยายามตัดลดเนื้อหา และชั่วโมงสอนให้กระชับ จัดรูปแบบการสอนให้น่าสนใจและได้ประโยชน์แก่นักศึกษามากที่สุด อีกทั้งพยายามจัดการเรียนการสอนทางห้องปฏิบัติการ เพื่อช่วยส่งเสริมความเข้าใจทางภาคทฤษฎี อีกทั้งให้มีทักษะพื้นฐานพอเพียงเกี่ยวกับงานปฏิบัติการ ที่สามารถจะฝึกฝนเพิ่มเติมให้ชำนาญเมื่อต้องการศึกษาต่อทางวิทยาศาสตร์การแพทย์พื้นฐานในระดับสูงต่อไปได้
พ.ศ.2523 ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรเตรียมแพทย์ ปรีคลินิก และคลินิก จากหลักสูตร
2 : 2: 2 ปี มาเป็น 1: 2: 3 ปี ในปีการศึกษา พ.ศ. 2523- 2524 ทำให้ภาควิชาต้องสอนนักศึกษาแพทย์ถึง 2 รุ่น ในปีเดียวกัน โดยเริ่มต้น จากการสอนนักศึกษาแพทย์ปีที่ 3 ในหลักสูตรเดิม (เรียกว่านักศึกษาแพทย์รุ่นปกติ)จนจบ แล้วต่อทันทีด้วยนักศึกษาแพทย์ปีที่ 2 ของหลักสูตรใหม่ (เรียกว่านักศึกษาแพทย์รุ่นเร่งรัด) ทำให้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต้องทำงานหนักมากตลอดปี โดยเฉพาะนักศึกษาที่เปลี่ยนหลักสูตรรุ่นแรกสมควรได้รับความเห็นใจอย่างยิ่ง เพราะในปีที่ 2 ของการศึกษาที่คณะวิทยาศาสตร์ จะต้องรวบรัดเรียนวิชาเตรียมแพทย์ให้จบในครึ่งปีแรก ส่วนครึ่งปีหลังต้องมาเรียนทางปรีคลีนิกที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คือ วิชากายวิภาคศาสตร์ และในภาคฤดูร้อนต้องเรียน วิชาชีวเคมี สรีรวิทยา และวิชาอื่นบางวิชา เมื่อจบการศึกษาของปีที่2 ประมาณ 3 สัปดาห์ก็ต้องขึ้นเรียนชั้น ปีที่ 3 ต่อไป
พ.ศ.2530 ได้ปรับรูปแบบการสอบภาคปฏิบัติวิชาชีวเคมีตามแนวทางของการสอบ OSCE ที่สามารถประเมินทักษะนักศึกษาได้ตรงตามที่ต้องการ และกระจายเนื้อหาถามได้หลายแง่มุมมากขึ้น
พ.ศ.2534 ภาควิชาชีวเคมีร่วมกับ ภาควิชาสรีรวิทยาและภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ได้ร่วมมือกันจัดสอนในรูปแบบของการใช้ปัญหาเป็นหลัก หรือ Problem Based Learning (PBL) โดยคัดเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกันได้ดีมาสอนราว 4-5 เรื่องต่อปี สำหรับเนื้อหาที่เหลือยังคงสอนในรูปแบบเดิม แต่เนื่องจากการสอนรูปแบบดังกล่าวต้องใช้เวลามาก อีกทั้งนักศึกษายังมีเนื้อหาของวิชาอื่นๆ ที่แน่นมาก จนมีเวลาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PBL ไม่มากพอ ดังนั้นการสอน PBL ในชั้นปีที่ 2 จึงเปลี่ยนไปเป็นการสอนกลุ่มย่อยในรูปแบบอื่นๆ เช่น การสัมมนา การสังเคราะห์ความรู้ (knowledge synthesizing activity) เป็นต้น
พ.ศ.2534 ภาควิชาชีวเคมีร่วมกับ ภาควิชาสรีรวิทยาและภาควิชากายวิภาคศาสตร์ ได้ร่วมมือกันจัดสอนในรูปแบบของการใช้ปัญหาเป็นหลัก หรือ Problem Based Learning (PBL) โดยคัดเลือกเนื้อหาที่น่าสนใจและเชื่อมโยงกันได้ดีมาสอนราว 4-5 เรื่องต่อปี สำหรับเนื้อหาที่เหลือยังคงสอนในรูปแบบเดิม แต่เนื่องจากการสอนรูปแบบดังกล่าวต้องใช้เวลามาก อีกทั้งนักศึกษายังมีเนื้อหาของวิชาอื่นๆ ที่แน่นมาก จนมีเวลาศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมเกี่ยวกับ PBL ไม่มากพอ ดังนั้นการสอน PBL ในชั้นปีที่ 2 จึงเปลี่ยนไปเป็นการสอนกลุ่มย่อยในรูปแบบอื่นๆ เช่น การสัมมนา การสังเคราะห์ความรู้ (knowledge synthesizing activity) เป็นต้น
พ.ศ.2538 เป็นปีแห่งความภาคภูมิใจและเป็นเกียรติยศสูงยิ่งของภาควิชาและของคณะฯที่ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี หรือ ทูลกระหม่อมอาจารย์ของเหล่านักศึกษาแพทย์ ได้เสด็จมาเป็นอาจารย์ประจำของภาควิชาชีวเคมี และพระราชทานการบรรยายแก่นักศึกษาแพทย์ และนักศึกษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง เป็นต้นมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้
ระหว่างพ.ศ.2541 – 2543 ภาควิชาได้ร่วมมือกันจัดเตรียมเอกสารและปรับปรุงระบบการเรียนการสอนต่างๆ ของหลักสูตรแพทยศาสตร์อย่างครบถ้วน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของคณะฯสำหรับรองรับการตรวจสอบคุณภาพการศึกษาของทบวงฯ ระหว่างวันที่ 12-16 มีนาคม 2543 ในที่สุดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้เป็นคณะฯแรกในประเทศไทยที่ผ่านการตรวจสอบและได้รับคำชื่นชมอย่างมากจากคณะกรรมการประเมินฯ
พ.ศ. 2551-2557 คณะฯ ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต โดยได้มีการย้ายรายวิชาบางวิชาที่ศึกษาในระดับชั้นปีที่ 3 มาศึกษาในระดับชั้นปีที่ 2 ทำให้ภาควิชาต้องปรับลดชั่วโมงการเรียนลงจากเดิมที่ใช้เวลา 2 ภาคการศึกษา (144 ชั่วโมง) เหลีอเป็น 1 1/2 ภาคการศึกษา (126 ชั่วโมง) พร้อมกันนี้ทางภาควิชาจึงได้ปรับปรุงเนื้อหาการสอนให้สอดคล้องกับระยะเวลา โดยคำนึงถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้ศึกษาต่อไปในชั้นคลินิก
เกี่ยวกับตำราชีวเคมีภาษาไทยสำหรับประกอบการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์นั้น ศาสตราจารย์นายแพทย์ สนอง อูนากูล หัวหน้าภาควิชาชีวเคมีท่านแรกได้เป็นผู้ริเริ่มและกระตุ้นให้อาจารย์ทุกคนเขียนคำสอนสมบูรณ์ เพื่อจัดรวบรวมพิมพ์โรเนียวเย็บเล่ม จำหน่ายแก่นักศึกษาแพทย์เป็นครั้งแรกในปีการศึกษา 2520 ต่อมาในปีการศึกษา 2523 จึงได้จัดพิมพ์ตำราชีวเคมีฉบับพิมพ์ที่ 2 ขึ้น นับเป็นตำราภาษาไทยของปรีคลินิกเล่มแรกสุดที่ได้ตีพิมพ์ขึ้นในรูปเล่ม ซึ่งได้รับความนิยมจากนักศึกษาแพทย์เป็นอย่างมาก จากนั้นได้มีการแก้ไขและปรับปรุงตำราอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นที่นิยมแพร่หลายของนักศึกษาอีกหลายๆสถาบัน รวมทั้งผู้สนใจทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วไป และเป็นแนวทางให้มีการจัดทำตำราภาษาไทยของภาควิชาต่างๆอย่างกว้างขวางต่อมา
ปัจจุบัน ภาควิชากำลังปรับปรุงตำราชีวเคมี ให้มีเนื้อหากระชับ ทันสมัยและเข้าใจง่าย เพื่อใช้สำหรับประกอบการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์ในอนาคต
พ.ศ. 2557-ปัจจุบัน คณะฯ ได้มีการปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต พ.ศ.2557 โดยจัดการเรียนการสอนในระดับปรีคลินิกเป็นการเรียนโดยอิงตามระบบของร่างกาย (system-based curriculum) แทนการเรียนแบบอิงแขนงสาขารายวิชา (discipline-based curriculum) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้แบบ บูรณาการ ไม่ว่าจะเป็นการบูรณาการระหว่างสาขาวิชาต่างๆในชั้นปีเดียวกัน (horizontal integration) และการเชื่อมโยงองค์ความรู้ระหว่างชั้นปี (vertical integration) ตลอดจนปรับเปลี่ยนรูปแบบการเรียนการสอนเป็นการสอนที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียน (active learning) และเสริมสร้างกระบวนการคิดวิเคราะห์สังเคราะห์ความรู้ นอกจากนี้ยังเพิ่มสัดส่วนของวิชาเลือกเสรีให้มากขึ้นอีกด้วย อนึ่งเนื้อหาของรายวิชาชีวเคมีในหลักสูตรเดิมจะกระจายอยู่ในรายวิชาต่างๆของหลักสูตรฯ ฉบับปรับปรุง สรุปได้ดังนี้
ทั้งนี้หลักสูตรฯฉบับปรับปรุงจะได้เริ่มใช้ในการเรียนการสอนชั้นปีที่ 2 ในปีการศึกษา 2558
