ศูนย์วิจัยกระดูกทางมานุษยวิทยากายวิภาคศิริราช (วีรพันธุ์ ทวีวงศ์)
Siriraj Anatomical and Anthropological Bone Research Centre (SI-AABRC)
แหล่งศึกษาค้นคว้าเพื่อหาคำตอบจากโครงกระดูก

ผศ.ดร.นพ.ณปกรณ์ แสงฉาย
หัวหน้าภาควิชากายวิภาคศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล

เมื่อมีการพบ ‘ผู้เสียชีวิตนิรนาม’ ที่เหลือเพียงโครงกระดูก โดยไม่มีหลักฐานอื่นๆ ที่จะสามารถนำไประบุตัวบุคคลได้ การสืบค้นว่า
พวกเขาเหล่านี้เป็นใคร ต้องอาศัยความรู้เฉพาะด้านจากการวิเคราะห์กระดูก ที่เรียกว่า นิติมานุษยวิทยา (Forensic Anthropology) นิติมานุษยวิทยา คือการศึกษาวิเคราะห์โครงกระดูกมนุษย์ จนสามารถระบุ เพศ อายุ (ณ ช่วงเวลาที่เสียชีวิต) ความสูง เผ่าพันธุ์ รวมถึงรอยโรคที่ปรากฏบนโครงกระดูก และนำไปสู่กระบวนการพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลเจ้าของโครงกระดูก เพื่อส่งคืนกลับไปยังครอบครัวหรือคนรักที่รอคอยอยู่ต่อไป ตลอดจนนำไปใช้ประโยชน์ในการพิจารณาคดี เพื่อสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้นกับทุกฝ่าย

ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา วิเคราะห์และวิจัยด้านนิติมานุษยวิทยา จึงก่อตั้งศูนย์วิจัยกระดูกทางมานุษยวิทยากายวิภาคศิริราช (วีรพันธุ์ ทวีวงศ์) ขึ้นในปี พ.ศ. 2564 ด้วยความตั้งใจที่จะให้เป็นแหล่งเก็บรวมรวมโครงกระดูกมนุษย์และสัตว์ เพื่อนำมาศึกษาวิจัย ใช้ในการเรียนการสอนของนักศึกษาแพทย์และนักศึกษาในหลักสูตรวิทยาศาสตร์สุขภาพในทุกหลักสูตร รวมถึงต่อยอดความรู้และการสร้างงานวิจัยระดับนานาชาติ โดยมีกำหนดเปิดศูนย์ฯ อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2568 นี้

จุดเด่นของศูนย์วิจัยกระดูกแห่งนี้ มีความครบถ้วนและหลากหลายของชุดโครงกระดูก เนื่องจากโรงพยาบาลศิริราชเริ่มดำเนินการเก็บรวบรวมกระดูกจากผู้บริจาคร่างกายเพื่อเป็นอาจารย์ใหญ่แบบโครงกระดูกมานานกว่า 100 ปี และมีการศึกษามานุษยวิทยากายวิภาคมาอย่างต่อเนื่อง โดย ศ.นพ.สุด แสงวิเชียร เป็นผู้บุกเบิก ก่อนที่ ผศ.นพ. ม.ร.ว.วีรพันธุ์ ทวีวงศ์ จะสืบทอดปณิธานและต่อยอดในด้านนิติมานุษยวิทยา ทำให้ศิริราชมีโครงกระดูกมนุษย์ที่สมบูรณ์มากกว่า 500 ชุด ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลเพศ อายุ สาเหตุการเสียชีวิตไว้อย่างครบถ้วน ตัวอย่างกระดูกที่สมบูรณ์มีส่วนส่งเสริมให้การวิเคราะห์ด้านนิติมานุษยวิทยามีความแม่นยำยิ่งขึ้น และสามารถเป็นฐานข้อมูลในระดับชาติ โดยศูนย์ฯ มีโครงกระดูกที่ครอบคลุมกลุ่มอายุตั้งแต่ทารกในครรภ์จนถึงอายุมากกว่า 90 ปี ที่สำคัญโครงกระดูก ณ ศูนย์วิจัยกระดูกแห่งนี้มากกว่า 100 ชุด อยู่ในช่วงอายุน้อย เช่น เด็ก วัยรุ่น ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน และนับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากในการทำวิจัย

ภาควิชากายวิภาคศาสตร์มีความตั้งใจที่จะสร้างความร่วมมือกับสถาบันอื่นๆ ในประเทศ เช่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยขอนแก่น เพื่อรวบรวมฐานข้อมูลจากชุดกระดูกที่มีความสมบูรณ์แบบในระดับชาติ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งฐานข้อมูลชุดกระดูกที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมไปถึงการสร้างความร่วมมือในระดับนานาชาติ อาทิ มหาวิทยาลัยดันดี (University of Dundee) แห่งสหราชอาณาจักร และมหาวิทยาลัยฮาวาย (University of Hawaii) ในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เปรียบเทียบฐานข้อมูลชุดโครงกระดูก และแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างภูมิภาค ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาต่อยอดความรู้ออกไปอย่างกว้างขวาง

ในปี พ.ศ. 2568 ศูนย์วิจัยกระดูกแห่งนี้ ได้รับการรับรองจาก Forensic Anthropology Society of Europe (FASE) ให้เป็น 1 ใน 3 ศูนย์วิจัยกระดูกของประเทศไทย จึงนับเป็นอีกก้าวที่สำคัญของการศึกษาด้านนิติมานุษยวิทยาในระดับนานาชาติ ที่อาจนำไปสู่การผลักดันให้มีการวิเคราะห์และวิจัยโครงกระดูกในแง่มุมทางนิติมานุษยวิทยา และนิติโบราณคดีมากขึ้น ตลอดจนนำไปสู่การคิดค้นนวัตกรรมต่างๆ เช่น การใช้ AI ประเมินกระดูกด้วยฐานข้อมูลแบบ online shared open database

ในอนาคตศูนย์วิจัยกระดูกทางมานุษยวิทยากายวิภาคศิริราช มีโครงการที่จะขอรับรองเป็นหนึ่งในศูนย์ SI-COE เพื่อเปิดโอกาสในการศึกษาวิจัยและการเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์ และนักวิจัย นับเป็นการให้ความรู้ที่มีค่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และเป็นการตอบแทนความรู้คืนสู่สังคมทั้งในระดับชาติและนานาชาติ