บทเรียนการประชุมวิชาการประจำปี HA National Forum ครั้งที่ 25
ภายใต้แนวคิด “Building Quality and Safety Culture for the Future Sustainability
สร้างวัฒนธรรมคุณภาพและความปลอดภัย เพื่อความยั่งยืนในอนาคต”
เรื่อง ชีวิตไม่ “ติด”: ติดยา-ติดหมอ-ติดเตียง
วันศุกร์ที่ 21 มีนาคม 2568 เวลา 10.30 – 12.00 น.
ณ ห้องสัมมนา Sapphire 203 ศูนย์การประชุม IMPACT FORUM เมืองทองธานี

วิทยากร
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ประธานศูนย์เวลเนสวีแคร์ (Wellness We care Center)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ห่างการติดยา ติดหมอ หรือติดเตียง โดยยึดตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) จะช่วยป้องกัน และรักษาโรคเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases; NCDs) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพและการมีวิถีชีวิตไม่เหมาะสม เป็นปัญหาของโลก และประเทศไทย

เมื่อปี พ.ศ. 2553 สมาพันธ์โรคหัวใจแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เสนอแนวคิด “Life Simple 7” ซึ่งประกอบด้วย การเลิกสูบบุหรี่ ออกกำลังกายเป็นประจำ กินอาหารเอื้อต่อสุขภาพที่ดี ควบคุมน้ำหนัก รักษาความดันโลหิต ควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และต่อมาได้พัฒนา ปรับปรุงใหม่เป็น “Life Essential 8” โดยเพิ่มเติมประเด็น การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ เข้ามาเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ

การดูแลในรูปแบบเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) ถือเป็นแนวทางการรักษาแบบใหม่เป็นแนวทางการแพทย์ที่เน้นการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตเพื่อป้องกันและรักษาโรคโดยไม่พึ่งยารักษาหรือหัตถการ ซึ่งเป็นการบูรณาการองค์ความรู้จากหลายศาสตร์ เช่น แพทยศาสตร์ โภชนศาสตร์ จิตวิทยา เป็นต้น โดยในปี พ.ศ. 2566 องค์กรแพทยสภาประเทศไทย อนุมัติให้มีการฝึกอบรมแพทย์สาขาเวชศาสตร์ป้องกัน แขนงเวชศาสตร์วิถีชีวิต โดยความร่วมมือระหว่างกรมอนามัย กระทรวงสาธารณะสุข และสมาคมเวชศาสตร์ป้องกันแห่งประเทศไทย เพื่อพัฒนาศักยภาพของแพทย์ในการให้บริการสุขภาพแก่ผู้ป่วยที่มารักษาโรคเรื้อรัง (NCDs) ให้มีความรู้เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการสุขภาพแนวใหม่ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้เหมาะสมกับวิถีชีวิตของผู้ป่วย และครอบครัวด้วยหลักการของเวชศาสตร์วิถีชีวิต

หลักสำคัญของการดูแลสุขภาพด้วยเวชศาสตร์วิถีชีวิต 6 ประการ คือ

  1. กินอาหารที่มีพืชเป็นหลัก (Plant Based Whole Food หรือ PBWF) ที่ไม่ผ่านการปรุงแต่ง แปรรูป ขัดสี เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักใบเขียว ผลไม้ ถั่วชนิดต่าง ๆ
  2. เคลื่อนไหวออกกำลังกายทั้งวันทุกวัน หรืออย่างน้อย 30 นาที 5 วัน ต่อหนึ่งสัปดาห์
  3. จัดการความเครียด ด้วยกระบวนการจิตบำบัด (Psychotherapy) ที่เป็นการบำบัดด้วยการพูดคุย มุ่งควบคุมระดับความเครียด ส่งเสริมกลไกการแก้ปัญหาที่ดี เพื่อจัดการกับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ
  4. มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบตัว และสังคม
  5. นอนหลับอย่างมีคุณภาพและพอเพียง ซึ่งอยู่ในช่วงระหว่าง 7-9 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งการนอนเป็นวิธีการดูแลสุขภาพที่ง่ายที่สุด ที่ธรรมชาติมอบให้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
  6. หลีกเลี่ยงสิ่งที่เป็นพิษนอกร่างกาย งดพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเกิดโรค เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ สารเสพติดต่าง ๆ เป็นต้น

จุดเริ่มต้นของการศึกษา และวิจัยเกี่ยวกับเวชศาสตร์วิถีชีวิต ต้องย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี ค.ศ. 1939 Dr.Walter Kempner ได้คิดค้นโปรแกรมลดน้ำหนัก The Rice Diet ซึ่งประกอบด้วยข้าวต้ม และคาร์โบไฮเดรตจากธัญพืช ผัก ผลไม้ ที่มีแคลอรี่ต่ำ โซเดียมต่ำ ไขมันต่ำ โปรตีนต่ำ เพื่อใช้ในการลดน้ำหนัก รักษาโรคหลอดเลือดหัวใจ ไตวาย ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน ซึ่งได้ผลค่อนข้างดี แต่ขณะนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับจากวงการแพทย์เท่าที่ควร แต่กระนั้น Dr.Walter ก็ยังได้รับการนับถือให้เป็นบิดาแห่งการใช้โภชนาการในการรักษาโรคยุคใหม่ ที่คิดค้นโปรแกรม The Rice Diet ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก การใช้ชีวิตของแรงงานจากประเทศจีนที่เข้ามาทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกาในขณะนั้น และสร้างแรงบันดาลใจให้แพทย์อย่าง Dr.Dean Ornish, Dr.Neal Barnard และ Dr.Caldwell Esselstyn ดำเนินรอยตามในเวลาต่อมา

  • Caldwell Esselstyn ได้นำผู้ป่วยที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ 24 ราย กินอาหารเฉพาะพืช ผัก ไขมันต่ำ และติดตามผลเป็นเวลา 12 ปี พบว่า Cholesterol ลดลงจาก 246 เหลือน้อยกว่า 150 mg/dl รอยตีบที่หลอดเลือด 14 จุด จาก 25 จุด อยู่นิ่ง ไม่ตีบมากขึ้น และไม่พบผู้ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจล้มเหลวหรือขาดเลือดเฉียบพลัน (Heart Attack) ในช่วงเวลา 10 ปี
  • Dean Ornish ได้แบ่งกลุ่มผู้ที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกใช้ชีวิตตามปกติ และกลุ่มสองปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตใน 4 ประเด็น ดังนี้
  1. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  2. เน้นกินอาหารจำพวกพืชเป็นหลัก
  3. เล่นโยคะ การทำสมาธิ เพื่อเป็นการจัดการความเครียด
  4. เข้าร่วมกลุ่มแลกเปลี่ยนประสบการณ์การใช้ชีวิตเป็นประจำ

หลังจากผ่านไป 1 ปี พบว่า กลุ่มแรก หลอดเลือดตีบมากขึ้น 5.4% อัตราการเจ็บหน้าอกเพิ่มขึ้น 165%และกลุ่มที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต หลอดเลือดหัวใจตีบน้อยลง 4.5% อัตราการเจ็บหน้าอกลดลง 91%

  • Neal Barnard เป็นนักวิจัยด้านโภชนาการได้แบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มที่ 1 ให้รับประทานอาหารเจไขมันต่ำ และกลุ่มที่ 2 ให้รับประทานอาหารตามเดิม พบว่า กลุ่มที่ 1 ผลการวิจัยดีกว่ากลุ่มที่ 2 มากกว่าเท่าตัวทุกอย่าง คือ ผู้ป่วยสามารถเลิกยาได้ 43% น้ำตาลสะสมลดลง 1.22% น้ำหนักลดลง 6.5 กิโลกรัม ไขมันเลวลดลง 21.2% ส่วนกลุ่มที่ 2 ผู้ป่วยเลิกยาได้ 26% น้ำตาลสะสมลดลง 0.38% น้ำหนักลดลง 3.1 กิโลกรัม ไขมันเลวลดลง 10.7%

“เวชศาสตร์วิถีไม่มีประโยชน์ ถ้าคนเปลี่ยนนิสัยตัวเองไม่ได้”

เวชศาสตร์การเปลี่ยนนิสัย (Behavior Medicine) จึงเข้ามามีบทบาทในส่วนนี้โดยใช้การสนทนาแบบชี้ให้เห็นแรงบันดาลใจข้างใน (Motivational Interview ; MI) คือ วิธีการโค้ชแบบอาศัยความสัมพันธ์ในลักษณะเป็นหุ้นส่วนที่เสมอภาคกัน ยอมรับกัน เมตตาต่อกัน แล้วค่อยชี้ให้เห็นแรงบันดาลใจข้างในอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการโค้ชสุขภาพลักษณะนี้ ประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์สำคัญ หรือ CAPE ดังนี้…  อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ >> ชีวิตไม่ “ติด”: ติดยา-ติดหมอ-ติดเตียง

ผู้บันทึกบทเรียน
นายเอกราช  จันทรประดิษฐ์
งานจัดการความรู้ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

อ่านบทเรียน HA National Forum อื่น ๆ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *